เชื้อรา ตัวการก่อให้เกิดการเสื่อมเสียของอาหารในระหว่างการเก็บรักษา
นอกจากเชื้อราจะก่อให้เกิดการเสื่อมเสียของอาหารแล้วเชื้อรายังผลิตสารพิษที่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค เช่น ราในกลุ่ม Aspergillus flavus และ Aspergillus parasiticus ที่สร้างสารพิษที่เรียกว่า อะฟลาท็อกซิน (Aflatoxin) และโอคราทอกซิน เอ (Ochratoxin A)
ในประเทศไทยนอกจากพบการปนเปื้อนของสารพิษอะฟลาท็อกซินปริมาณสูงในถั่วลิสงแล้ว เรายังพบสารพิษอะฟลาท็อกซินปริมาณสูงในพริกแห้ง พริกป่น พริกไทย รวมทั้งเครื่องเทศแทบทุกชนิดในอาหาร โดนเฉพาะกาแฟคั่วบดที่คนไทยชื่นชอบพบว่าปนเปื้อนสารก่อมะเร็งโอคราทอกซิน เอ เกือบทั้งหมด ที่ไม่ต้องแปลกใจเลยว่าทำไมคนไทยเป็นมะเร็งตับ อันดับต้นๆของโลก
คนไทยเป็นมะเร็งตายปีที่แล้วเกือบ 100,000 คนและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี
มาตรฐานการปนเปื้อนสารพิษ Aflatoxin B1 ในอาหารต้องไม่เกิน 5 ppb แต่ความเป็นจริงที่เราต้องซื้อกินจากตลาดมันเกินเป็น 10-40 เท่า
ผลิตและจำหน่ายพริกป่น พริกไทย ถั่วลิสงปลอดอะฟลาท็อกซิน(Aflatoxin)
และกาแฟปลอดออคราท็อกซิน เอ(Ochratoxin A)
ผลทดสอบพริกป่นแสดงให้เห็นว่าสารพิษอะฟลาท็อกซินมีค่าเป็นศูนย์ทุกตัว
Download Test Report เพื่อใช้อ้างอิง (printable)
ผลทดสอบพริกไทย
Download Test Report เพื่อใช้อ้างอิง(printable)
ถั่วลิสงปลอดอะฟลาท็อกซิน
ยังไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน ที่ค่าอะฟลาท็อกซินเป็นศูนย์ทุกตัว
กินอร่อยปลอดภัยแล้วห่างไกลมะเร็ง
ผลทดสอบถั่วลิสงหลังผ่านขบวนการทำแห้งค่าของอะฟลาท็อกซินเป็นศูนย์ทุกตัว
Download Test Report เพื่อใช้อ้างอิง (Printable)
ผลทดสอบหาสารก่อมะเร็ง Ochratoxin A ในเมล็ดกาแฟ (Green coffee bean)
ปัญหาการเก็บระยะยาวของพืชผลการเกษตรหลังการเก็บเกี่ยวเป็นปัญหาที่สำคัญ อันเนื่องมาจากการเน่าเสียและการเกิดอะฟลาท็อกซิน ที่ถูกจัดอันดับเป็นสารก่อมะเร็งร้ายแรงที่สุดชนิดหนึ่งในโลก แถมยังทนความร้อนได้สูงมาก การปรุงอาหารจึงไม่สามารถทำลายได้
อะฟลาท็อกซิน (aflatoxin) คือสารพิษที่ผลิตจากเชื้อรา (mycotoxin) ซึ่งผลิตจากเชื้อรา Aspergillus flavus และ Aspergillus paraciticus ซึ่งเชื้อราสองชนิดนี้สร้างสารพิษในภาวะที่มีความชื้นสูง อะฟลาท็อกซินได้รับความสนใจมากเป็นพิเศษ เนื่องจากการปรุงอาหารด้วยความร้อนธรรมดา เช่น การหุง นึ่ง ต้ม จะไม่สามารถทำลายพิษอะฟลาท็อกซินให้หมดไปได้ เพราะสารพิษนี้สามารถทนความร้อนไปสูงถึง 260 องศาเซลเซียส
ตารางที่ 1 สถิติความชื้นสัมพัทธ์เฉลี่ย %RH ของประเทศไทยในช่วงฤดูกาลต่างๆ
ภาค
|
ฤดูหนาว
|
ฤดูร้อน
|
ฤดูฝน
|
ตลอดปี
|
เหนือ
ตะวันออกเฉียงเหนือ
กลาง
ตะวันออก
ใต้ฝั่งตะวันออก
ใต้ฝั่งตะวันตก
|
73
69
71
71
81
77
|
62
65
69
74
77
76
|
81
80
79
81
78
84
|
74
72
73
76
79
80
|
จากตารางที่1 แสดงให้เห็นว่าภูมิอากาศของประเทศไทยทั่วทุกภาคเหมาะกับการเจริญเติบโตของเชื้อราเป็นอย่างมาก
นอกจากการลดความชื้นหลังการเก็บเกี่ยว(drying)แล้ว สำหรับในส่วนของการเก็บรักษาระยะยาว(storage)ของพืชผลการเกษตรหลังการลดความชื้นแล้วก็เป็นปัญหา ปัจจุบันของประเทศไทยยังไม่มีวิธีใดที่ดีและเหมาะสมเนื่องจากภูมิประเทศของประเทศไทยอยู่ในเขตร้อนชื้นทำให้โอกาสที่จะเน่าเสียเนื่องจากเชื้อรามีสูง
ตัวอย่างการเน่าเสียของหอมแดงที่ต้องทิ้งปีละหลายพันตัน บางส่วนส่งเข้าโรงงานทำน้ำพริกที่แน่นอนว่ามีการปนเปื้อนของอะฟลาท็อกซินอยู่สูง ผลร้ายก็ตกอยู่กับผู้บริโภคอย่างเราๆท่านๆ
อะฟลาท็อกซินเป็นปัญหาสาธารณสุขระดับโลก
สารพิษอะฟลาท็อกซินจากเชื้อราตัวการหลักที่ทำให้เป็นมะเร็ง มีคนอยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่รับสารพิษอะฟลาท็อกซินที่ปนเปื้อนในอาหารประมาณ 5,000 ล้านคน แต่ก็มีคนหลายล้านบอกว่าไม่กินอาหารที่ปนเปื้อนสารพิษอะฟลาท็อกซิน อย่างเช่นไม่กินพริกป่น (แต่ชีวิตก็ขาดรสชาติไป) และก็มีคนอีกหลายล้านคนที่บอกว่าไม่กลัวมะเร็ง(อันนี้มันเป็นวิทยาศาสตร์นะ ผีสางเทวดาไม่มีตัวตนดันกลัว) สุดท้ายแล้วเหลืออีกหลายล้านคนที่ฉลาดพอจะหาสินค้าที่ปลอดสารพิษอะฟลาท็อกซินเพื่อบริโภค (แล้วคุณอยู่กลุ่มไหน?)
อะฟลาท็อกซินร้ายแรงกว่าสารตกค้างด้านการเกษตรมากๆ
LD50 (Lethal Dose Fifty) ค่า LD50 เป็นค่าที่คำนวณขึ้นมาจากปริมาณของสารพิษ (dose) ที่คาดว่าจะทำให้สัตว์ทดลองตายไปครึ่งหนึ่งของประชากรที่ใช้ทดลองเมื่อได้รับสารนั้น สารตกค้างทางการเกษตรจะอยู่ระดับเป็นกรัมต่อน้ำหนักของหนูทดลองที่ทำให้หนูทดลองตาย แต่สารพิษอะฟลาท็อกซินจากเชื้อราจะอยู่ระดับเป็นไมโครกรัมที่ทำให้หนูทดลองตาย สารพิษอะฟลาท็อกซินจะมีความเป็นพิษจะรุนแรงกว่าสารตกค้างในพืชผลการเกษตรเป็น 1,000,000 เท่า แม้ว่าคนไม่ได้กินจำนวนมากพอจะทำให้ตายทันทีแต่ปริมาณสะสมที่กินเข้าไปทุกวันก็ทำให้เป็นมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็ง ที่คนไทยตายเมื่อปีที่แล้ว 85,000 คนและเพิ่มขึ้นทุกปี ปัญหาของอะฟลาท็อกซินเป็นปัญหาสาธารณสุขระดับโลกที่ยังไม่มีวิธีการที่เหมาะสมในการป้องกัน แต่วันนี้มีเทคโนโลยีที่ทำได้แล้ว
บทความที่ได้ตีพิมพ์ในวารสารทางวิชาการนานาชาติของการกำจัดเชื้อรา Aspergillus flavus
Download ดูฉบับเต็ม APA 14-064.pdf
สนใจรายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อได้ที่ 085-8468135
ID Line: smartguard99
ในกาแฟพบสารพิษ Ochratoxin A ที่มาจากเชื้อรา เป็นสารก่อมะเร็งอีกชนิดหนึ่งที่ร้ายแรงพอๆกับ Aflatoxin
กลไกการเกินมะเร็งจากการรับสาร Ochartoxin A ที่ปนเปื้อนในกาแฟคั่วบด
คำอธิบายว่าทำไมกาแฟคั่วบด(กาแฟสด)เกือบจะทั้งหมด ถึงพบว่าปนเปื้อนสารก่อมะเร็ง Ochratoxin A ที่มาจากเชื้อรามีปริมาณสูงมาก สาเหตุหลักมาจากเชื้อราที่เกิดในระหว่างการเก็บรักษา เริ่มจากต้นกาแฟจะให้ผลผลิตปีละ 1 ครั้งราวเดือน พ.ย. ถึง ปลายเดือน ม.ค. เมื่อได้เก็บผลกาแฟที่สุกมาก็จะเอาเนื้อออกเหลือเป็นเมล็ดเอาไปตากแห้งเรียกว่า กาแฟกะลา ขั้นตอนที่สำคัญของการทำกาแฟคือจะต้องบ่มเมล็ดกาแฟอย่างน้อย 3-6 เดือนก่อนนำไปคั่วไม่เช่นนั้นกาแฟจะมีกลิ่นเหม็นเขียว ดังนั้นการเก็บรักษากาแฟกะลาในโกดังด้วยวิธีการเดิมๆจึงไม่มีทางที่จะเก็บกาแฟกะลาให้ปลอดจากเชื้อราได้เนื่องจากประเทศไทยอยู่ในเขตร้อนชื้นที่เหมาะกับการเจริญเติบโตของเชื้อราเป็นอย่างมาก ปัจจุบันกาแฟกะลาถูกเก็บในโกดังอย่างน้อย 1-2ปี เรียกว่าถ้าสุ่มตรวจโอกาสจะเจอสารก่อมะเร็งที่มาจากเชื้อราเกือบจะ 100% ขึ้นอยู่กับดวงใครดวงมัน แต่ที่สำคัญคนกินกาแฟจะต้องกินทุกวันโอกาสที่จะได้รับสารก่อมะเร็งสะสมในร่างกายถึงสูงมาก
ตัวอย่างติดตั้งเครื่องฯในโรงงานอุตสาหกรรมผลิตอาหาร
สมุนไพรแห้งพบว่ามีการปนเปื้อนสารพิษอะฟลาท็อกซินอยู่สูงมาก แทนทีจะกินเพื่อต้านมะเร็งกลับกลายเป็นว่ากินสารก่อมะเร็ง เคยรู้มาก่อนไหมครับ?
บทความที่บรรยายงานประชุมวิชาการประจำปีของ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ paper 2016.pdf